ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

What did I learn on youtube? # 4

กฎหมายค้ำประกัน
          กฎหมายค้ำประกัน  สามารถแบ่งประเด็นในการศึกษาออกได้เป็น 7 ประเด็นด้วยกัน ดังต่อไปนี้คือ
            (1).ที่มาที่ไปของกฎหมายค้ำประกัน
            (2).ค้ำประกันคืออะไร
            (3).ภาพรวมสัญญาค้ำประกัน
            (4).แบบสัญญาค้ำประกัน
            (5).ความรับผิด / เกราะป้องกันของผู้ค้ำประกัน
            (6).สิทธิของผู้ค้ำประกัน
            (7).กรณีการค้ำประกันการทำงาน (กรณีพิเศษ)
           
            (1).ที่มาที่ไปของกฎหมายค้ำประกัน
            สัญญาค้ำประกัน ในทางกฎหมายจะเรียกว่าสัญญาอุปกรณ์ นั้นก็คือสัญญาค้ำประกันจะเกิดขึ้นมาได้ก็ต้องเกิดจากการที่มีสัญญาประธานขึ้นมาเสียก่อน  โดยปกติแล้วสัญญาค้ำประกันจะเกิดขึ้นมาคู่กับสัญญากู้ยืมเงิน
            อย่างในกรณีตัวอย่างเช่น  ถ้าเราต้องการกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้คนหนึ่ง  ถ้าเจ้าหนี้คนนั้นมีความมั่นใจที่จะให้เรากู้ยืมเงิน เราก็สามารถที่จะกู้ยืมเงินได้  โดยจะมีดอกเบี้ยหรือไม่มีดอกเบี้ยก็แล้วแต่เรากับเจ้าหนี้จะตกลงกัน  แต่ถ้าในกรณีที่เจ้าหนี้ไม่มั่นใจในตัวเรา  เราก็จะต้องมีหลักประกันเพื่อให้เจ้าหนี้เกิดความมั่นใจในตัวเรา  แล้วเราก็สามารถกู้ยืมเงินได้นั่นเอง 
            โดยหลักประกันสามารถที่จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ
            (1).คน การที่ใช้คนมาเป็นหลักประกันเราจะเรียกว่า ค้ำประกัน โดยใช้คน ความสามารถของคนมาเป็นหลักในการค้ำประกัน ตามสัญญาประธานที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง
            (2).ทรัพย์ การที่ใช้ทรัพย์มาเป็นหลักประกันเราจะเรียกว่า จำนอง หรือ จำนำ
           
            (2).ค้ำประกันคืออะไร
            สัญญาค้ำประกัน ตามมาตรา 681 วรรค 1 คือ สัญญาซึ่งบุคคลภายนอก (ผู้ค้ำประกัน) ผูกผันตนเองต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง ซึ่งจะชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็มีความมั่นใจ
           

            (3).ภาพรวมสัญญาค้ำประกัน
            (1).เป็นสัญญาระหว่าง คนภายนอกกับเจ้าหนี้ ซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้หรือลูกหนี้ร่วม จะต้องเป็นคนภายนอกเท่านั้น โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากลูกหนี้ (ฎีกา 762/2519)
            (2).สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาอุปกณ์ซึ่งจะต้องเกิดเมื่อมีสัญญาประธานเกิดขึ้นเสียก่อนนั่นเอง
            (3).ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิด เมื่อลูกหนี้ ผิดนัด เท่านั้น ถ้าไม่ผิดนัดผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดเลย
            (4).ถ้าหนี้ค้ำประกัน ไม่ใช่หนี้ทางแพ่ง ก็จะไม่สามารถค้ำประกันได้ อย่างเช่น หนี้อาญา

            (4).แบบสัญญาค้ำประกัน
            สัญญาค้ำประกันนั้น  เพียงแค่เราตกลงด้วยวาจา ก็ถือว่าสัญญานั้นสมบูรณ์แล้วตามมาตรา 680 วรรค 2 ไม่จำเป็นต้องมีหนังสือที่เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด 
            แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นถ้าสมมติเราต้องการเป็นหนังสือ ก็สามารถที่จะทำได้เป็นหนังสือได้  จะต้องลงชื่อผู้ค้ำประกันในหนังสือนั้นด้วย  โดยที่จะมีประโยชน์เมื่อเราต้องการฟ้องร้องคดีนั่นเอง  ซึ่งการที่เราตกลงกันเพียงวาจาเท่านั้น  เมื่อต้องการฟ้องร้องบังคับคดี  ก็อาจจะทำไม่ได้เลย เพราะไม่มีหลักฐานนั่นเอง 

            (5).ความรับผิด / เกราะป้องกันของผู้ค้ำประกัน
            ในส่วนแรกจะพูดถึงความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
            หมายความว่า  ผู้ค้ำประกันจะต้องจ่ายเงินชำระหนี้ให้เจ้าหนี้เมื่อลูกหนี้ ผิดนัด เท่านั้น โดยการผิดนัดของลูกหนี้นั้นสามารถที่จะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ
          (1).หนี้ไม่มีกำหนดระยะเวลา ตามาตรา 204 วรรค 1 คือ ไม่มีการตกลงว่าจะต้องใช้หนี้กันเมื่อไร ถ้าเกิดเจ้าหนี้เรียกลูกหนี้ชำระหนี้ แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ ความรับผิดก็จะตกแก่ผู้ค้ำประกันทันที
            (2).หนี้มีกำหนดระยะเวลา ตามมาตรา 204 วรรค 2 คือ การมีระยะเวลาที่ชำระหนี้ที่แน่นอน แต่ถ้าเกิดเจ้าหนี้เรียกลูกหนี้ชำระหนี้ แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ ความรับผิดก็จะตกแก่ผู้ค้ำประกันทันที
            (3).หนี้มีกำหนดระยะเวลา และจะระบุวันที่จะต้องชำระหนี้ลงไปในหนังสือสัญญาด้วย และก็จะมีระยะเวลาบอกกล่าวก่อน 
            (4).หนี้จากมูลละเมิด ตามมาตรา 206 โดยที่ระบุไว้ว่า เจ็บ ตาย กาย ทรัพย์ ตามมาตรา 420 โดยจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดตั้งแต่การทำละเมิด
            สิ่งที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดก็จะประกอบไปด้วย
            (1).เงินต้นที่ค้ำประกัน
            (2).ดอกเบี้ย ต้องไปดูที่สัญญาประธาน ตามมาตราที่ 683 เฉพาะรับผิดไม่จำกัดจำนวน
            (3).ค่าสินไหมทดแทน
            (4).ค่าธรรมเนียมต่างๆในการบังคับ ฟ้องร้องคดี
           
            ในส่วนต่อมาก็จะพูดถึงเกราะป้องกันของผู้ค้ำประกัน     
            เกราะป้องกันของผู้ค้ำประกันนั้นจะสามารถที่จะช่วยบรรเทาความรับผิดได้บางส่วน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามลูกหนี้ให้มาใช้หนี้เจ้าหนี้ หรือการเลื่อนระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป โดยสามารถที่จะแบ่งได้เป็นข้อๆได้ดังต่อไปนี้ คือ
            (1).เช็คให้ดีว่า หนี้อาจจะยังไม่ถึงกำหนดชำระ อันเนื่องมาจาก การรับผิดของผู้ค้ำประกันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ลูกหนี้ผิดนัดเท่านั้น แต่ถ้าเกิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด เราก็ยังไม่ต้องใช้หนี้แทนลูกหนี้
            (2).บอกปัดไป โดยให้ไปตามหนี้ที่ลูกหนี้เสียก่อน แต่ถ้าเจ้าหนี้เคยไปเรียกกับลูกหนี้มาแล้ว แต่ลูกหนี้ก็ยังไม่ยอมใช้หนี้คืน ผู้ค้ำประกันก็จำเป็นที่จะต้องใช้หนี้แทนลูกหนี้
            (3).พิสูจน์ว่าลูกหนี้มีตังค์ใช้หนี้จริงๆ โดยจะต้องหลักฐานอ้างอิงจริงๆด้วย และสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วย
            (4).เจ้าหนี้มีทรัพย์ลูกหนี้เป็นประกัน ให้ไปเรียกใช้หนี้กับลูกหนี้ก่อนที่จะมาเรียกเก็บที่ผู้ค้ำประกัน
            แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ อย่ารับผิดร่วมกับลูกหนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องอ่านสัญญาประธาน และสัญญาค้ำประกันให้ดีๆเสียก่อน ที่จะเป็นผู้ค้ำประกันให้กับผู้อื่น แต่ถ้าเผลอรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จะไม่สามารถใช้เกราะป้องกัน ตามมาตรา 688 มาตรา689 มาตรา690 ได้เลย
           
            (6).สิทธิของผู้ค้ำประกัน
            คือ ผู้ค้ำประกันได้รับสิทธิสวมสิทธิเจ้าหนี้  เจ้าหนี้สามารถทำอะไรได้  ผู้ค้ำประกันก็สามารถที่จะทำตามเจ้าหนี้ได้  โดยเงินที่ผู้ค้ำประกันจ่ายให้แก่เจ้าหนี้นั้น ก็ไม่ได้สูญเปล่าไปเสียยทีเดียว  แต่ผู้ค้ำประกันสามารถจะไปเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ได้  เสมือนว่าผู้ค้ำประกันเป็นเจ้าหนี้เลย โดยตามกฎหมายแล้ว  กฎหมายจะให้การคุ้มครองผู้ค้ำประกันไว้เป็นอย่างดี
            (1).ร้องศาลสั่งบังคับลูกหนี้ชำระหนี้
            (2).เข้าควบคุมทรัพย์สินลูกหนี้ เสมือนเป็นเจ้าหนี้
            (3).หลักประกันแห่งหนี้
            (4).ฟ้องคดีในนามตนเองได้
            (5).เปลี่ยนแปลงชื่อทะเบียนของเจ้าหนี้เดิมมาเป็นของตน
            (6).เรียกดอกเบี้ยที่ตนเองชำระหนี้ไป
            โดยอายุความในการไล่เบี้ยกันนั้น  มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 
           
            (7).กรณีการค้ำประกันการทำงาน (กรณีพิเศษ)
            ในปัจจุบันการค้ำประกันการทำงานเกิดขึ้นบ่อยมาก เกิดขึ้นในทุกๆที่ เพื่อเป็นการประกันแก่นายจ้าง  โดยมีหลักสังเกตสองประการคือ
            (1).ผู้ค้ำประกัน รับผิดเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากหน้าที่ของลูกจ้าง โดยผู้ค้ำประกันจะรับผิดเฉพาะสิ่งที่ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายเท่านั้น โดยจะต้องอ่านสัญญาให้ดีๆ เพราะสัญญาอาจจะระบุให้รับผิดเนื่องมากจากนอกเหนือจากหน้าที่ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นต้องอ่านสัญญาให้ดีเสียก่อนที่จะไปค้ำประกันให้ใคร
            (2).เมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ ต้องเปลี่ยนสัญญาค้ำประกันใหม่ด้วย เพราะ สัญญาค้ำประกันจะไม่ผูกพันไปถึงตำแหน่งหน้าที่ใหม่
            เพราะฉะนั้นการที่ผู้ค้ำประกัน  จะไปค้ำประกันให้ใคร  ก็พึงจะต้องศึกษากฎหมายในข้อนี้ให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นเสียก่อน  เพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิด หรือใช้หนี้แทนลูกหนี้นั่นเอง

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

What did I really learn on 07 January 2012?

           สิ่งที่อาจารย์สอนและได้เรียนรู้ในวันที่  7 มกราคม พ.ศ. 2555 ก็คือ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (The Civil and Commercial Code) กฎหมายคุ้มครองแรงงาน (Labour Protection Act) การสัญญาจ้างงาน และหลักการของกฎหมายธุรกิจ โดยสามารถสรุปเนื้อหาได้ดังต่อไปนี้

            กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (The Civil and Commercial Code) (s.1 – s.1755)
          กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา             
            กฎหมายพาณิชย์  คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น            
            ในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ
            อาจารย์ได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 6 บรรพ คือ
          (1).General Principle (ว่าด้วยหลักทั่วไป)
          (2).Obligation (ว่าด้วยความเป็นหนี้)
          (3).Specific Contract (ว่าด้วยเอกเทศสัญญา)
          (4).Property (ว่าด้วยเรื่องทรัพย์สิน)
          (5).Family (ว่าด้วยเรื่องของครอบครัว)
          (6).Succession (ว่าด้วยยมรดก)
            เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดทำประมวลกฎหมายโดยการนำเอากฎหมายแพ่งมารวมกับกฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีกเล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมายยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถนำไปใช้กับกฎหมายพาณิชย์ได้ ความจำเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัดทำเป็นประมวลกฎหมายคนละเล่มกันจึงยังไม่มีความจำเป็นเท่าใดนักในขณะนั้น
            นอกจากนี้อาจารย์ยังได้พูดถึงคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โดยผมจะแบ่งออกเป็น 6 บรรพ ดังต่อไปนี้
            (1).General Principle (ว่าด้วยหลักทั่วไป)
          สัญญา   สาระสำคัญของสัญญา มีด้วยกัน 3 ประการ คือ
            (1). ต้องมีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป
            (2). ต้องมีการแสดงเจตนาต้องตรงกัน คือ
                        คำเสนอ คือ เป็นคำแสดงเจตนาขอทำสัญญา คำเสนอต้องมีความชัดเจน แน่นอน ถ้าไม่มีความชัดเจน ไม่มีความแน่นอน จะเป็นแค่พียง คำเชิญชวน
                        คำสนอง คือ การแสดงเจตนาของผู้สนองต่อผู้เสนอ ตกลงรับทำสัญญาตามคำเสนอ คำสนองต้องมีความชัดเจน แน่นอน ปราศจากข้อแก้ไข ข้อจำกัด หรือข้อเพิ่มเติมใดๆ
            (3). จะต้องมีวัตถุประสงค์ในการทำสัญญา

            ประเภทของสัญญา
          (1).สัญญาและสัญญาไม่ต่างตอบแทน
            สัญญาต่างตอบแทน คือ สัญญาที่ทำให้คู่สัญญาต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกัน
และกัน ในมาตราที่ 369
            สัญญาไม่ต่างตอบแทน คือ สัญญาที่ก่อหนี้ฝ่ายเดียว เช่น สัญญายืม
            (2).สัญญามีค่าตอบแทนและสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
          (3).สัญญาประธานและสัญญาอุปกรณ์
          สัญญาประธาน  คือ สัญญาที่เกิดขึ้นและเป็นได้อยู่โดยลำพัง ไม่ขึ้นอยู่กับสัญญาอื่นๆ สัญญาอุปกรณ์ คือ  สัญญาอุปกรณ์จะต้องสมบูรณ์ตามหลักความสมบูรณ์ของตัวเองแล้วจะต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสัญญาประธานอีกด้วย
            (4). สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก       
          (5).เอกเทศสัญญาตาม ป.พ.พ.บรรพ 3 กับสัญญาไม่มีชื่อ


            (2).Obligation (ว่าด้วยความเป็นหนี้)
          จัดการงานนอกสั่ง คือ การที่บุคคลใดเข้าทำหน้าที่แทนผู้อื่น โดยเขามิได้วานใช้ให้ทำ  หรือไม่มีสิทธิที่จะทำการงานนั้น แทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ตาม
            ถ้าการเข้าจัดการงานนั้น ขัดความประสงค์ของเขา ผู้เข้าจัดการไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆได้ และถ้าเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้ว ก็ต้องชดใช้ให้กับเขาด้วย

            ลาภมิควรได้ คือ กรณีที่บุคลได้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน  เพราะการที่บุคคลอีกคนหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ก็ดี หรือได้มาด้วยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลหนี้อันที่จะอ้างกฎหมายใด และการได้มาทำให้อีกบุคคลหนึ่งเสียเปรียบ สิ่งที่ได้มานั้นจึงจัดเป็นลาภมิควรได้ จะต้องคืนให้ผู้มีสิทธิไป

            ละเมิด มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ คือ
          (1). เป็นการกระทำต่อบุคคลอื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย    
            (2). เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ                   
            (3). การกระทำนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย
            การยอมให้บุคคลอื่นกระทำต่อตนด้วยความสมัครใจกล่าวคือ ปราศจากคำข่มขู่ กลฉ้อฉลหรือคำสำคัญผิดหรือความยินยอมที่ให้นี้จะต้องมีอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ทำละเมิดด้วย

            (3).Specific Contract (ว่าด้วยเอกเทศสัญญา)
            สัญญาจ้างแรงงาน 
            สัญญาจ้างแรงงาน  คือ สัญญาซึ่งลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างตกลงให้สินจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้
            ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน
            1. เป็นสัญญาระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือลูกจ้างและนายจ้าง วัตถุประสงค์ของการจ้างชอบด้วยกฏหมาย
            2. เป็นสัญญาต่างตอบแทนและมีค่าตอบแทน กล่าวคือ ลูกจ้างมีหน้าที่ต้องทำงานให้แก่นายจ้าง และนายจ้างมีหน้าที่จ่ายสินจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้
            3. วัตถุประสงค์แห่งสัญญาคือ การทำงานของลูกจ้าง
            4. ไม่มีแบบแห่งสัญญา กล่าวคือกฏหมายไม่ได้กำหนดแบบแห่งสัญญาไว้ จะแสดงเจตนาตกลงกันด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้
            5. เป็นสัญญาเฉพาะตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญา
            สิทธิและหน้าที่ของลูกจ้าง
            สิทธิของลูกจ้าง
            1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับสินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้แก่นายจ้าง
            2. ลูกจ้างมีสิทธิให้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนได้ เมื่อนายจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย
            3. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับใบสำคัญแสดงการผ่านงาน
            4. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าเดินทางขากลับจากนายจ้างในกรณีนายจ้าง จ้างลูกจ้างมาจากต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางมาทำงานให้
            5. ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีไม่มีเวลาการจ้างแน่นอน ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน แต่ไม่จำเป็นต้องบอกล่วงหน้ากว่าสามเดือน
            หน้าที่ของลูกจ้าง
            1. ลูกจ้างต้องทำงานให้แก่นายจ้างตามที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้างแรงงาน
            2. ลูกจ้างต้องทำงานตามความสามารถที่ตนได้รับรองโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือเช่นนั้น
            3. ลูกจ้างต้องทำงานตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
            4. ลูกจ้างต้องไม่จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
            5. ลูกจ้างต้องไม่ละเลยต่อคำสั่งของนายจ้างเป็นประจำ
            6. ลูกจ้างต้องไม่ใจละทิ้งงานไปเสียโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร
            7. ลูกจ้างต้องไม่กระทำผิดอย่างร้ายแรง
            8. ลูกจ้างต้องไม่ทำประการอื่นอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต

                ตัวอย่างสัญญาจ้างพนักงานทดลองงาน

                                                                                  เขียนที่ ……………………..……………
                                                                  วันที่ ……… เดือน ……………………. พ.ศ .……...
                    ระหว่างบริษัท ………………………..………… จำกัด ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า ''นายจ้างฝ่ายหนึ่ง และนาย/นาง /นางสาว ………………………………. ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า ลูกจ้างฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงตามสัญญาจ้างทดลองงานฉบับนี้ไว้ดังนี้
            1. กำหนดระยะเวลาการจ้างทดลองงานตั้งแต่วันที่ ……… เดือน ……………….. พ.ศ ………….ถึงวันที่ ……… เดือน …………………….. พ.ศ …………. ทดลองงานทั้งสิ้น 120 วัน
            2. กำหนดอัตราค่าจ้างดังนี้
                    2.1 ภายใน 60 วันแรก ได้รับค่าจ้างวันละ …………….…… บาท
                        2.2 หลังจาก 60 วันไป แล้ว ได้รับค่าจ้างวันละ ……………… บาท
            3. ในช่วงระยะเวลาการทดลองงาน หากบริษัทพิจารณาว่าท่านขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้างาน บริษัทสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในกรณีดังนี้
                        3.1 คุณสมบัติไม่เหมาะสม ฯ
                        3.2 ความประพฤติไม่ดี
3.3 ขาความรู้ความสามารถในการทำงาน ฯลฯ
            4. เมื่อครบกำหนดเวลาทดลองงาน หากลูกจ้างเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม นายจ้างจะพิจารณาเป็นลูกจ้างต่อไป
            สัญญานี้ทำขึ้นโดยทั้งสองฝ่ายต่างอ่านและเข้าใจข้อความในสัญญานี้ โดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ

ลงชื่อ ………………………………………….. นายจ้าง

( …………………………………………………. )

ลงชื่อ ………………………………………….. ลูกจ้าง

( …………………………………………………. )


            กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
            กฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายที่จำกัดหลักเสรีภาพในการทำสัญญาหรือหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนา หมายความว่ากฎหมายคุ้มครองแรงงานหาได้ยกเลิกหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาหรือหลักเสรีภาพในการทำสัญญาในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยสิ้นเชิงไม่ หากแต่จำกัดหลักดังกล่าวให้แคบลงเท่านั้น คือจะแสดงเจตนาทำนิติกรรมใด ๆ ให้มีมาตรฐานต่ำกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานบัญญัติไว้ไม่ได้ แต่ในทางตรงข้าม นายจ้างลูกจ้างยังคงมีเสรีภาพเต็มที่ในการทำสัญญาตราบเท่าที่สัญญานั้นไม่ขัดต่อบทบัญญัติในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้านายจ้างลูกจ้างแสดงเจตนาทำสัญญาได้สูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานบัญญัติไว้ สัญญานั้นใช้บังคับได้และไม่ให้นำกฎหมายแรงงานมาบังคับใช้
            กฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน นิติกรรมใดที่ทำขึ้นขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมายคุ้มครองแรงงานย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 หรือแตกต่างจากที่บัญญัติไว้ก็ตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน 

            หลักการของกฎหมายธุรกิจ
            ประกอบไปด้วยหลักการต่างๆทั้ง 15 ประการดังนี้คือ
            (1).ความตกลงทำให้เกิดสัญญา (Freedom of Contract)
            (2).สัญญาต้องเป็นสัญญา (ความศักดิ์สิทธิ์แห่งการแสดงเจตนา) (Agreements of the parties must be observed)
            (3).คนที่มาหาความยุติธรรมต้องมาด้วยมือที่บริสุทธิ์ (Those who come to equity must come with clean hands)
            (4).จะทำสัญญายกเว้นความรับผิดอันเกิดจากการฉ้ฉลมิได้  (No contract can require fraud shall create no liability)
            (5).ในกรณีที่ความเป็นธรรมที่เท่ากัน บุคคลที่มาก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่า (Where the equities are otherwise equal the earlier in time has)
            (6).สิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินนั้น ไม่อาจใช้ยันผู้ซื้อโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน (Claims in equity will never be valid against a bona fide purchaser for value)
            (7).ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน (He who has not, cannot give)
            (8).ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอน (An assignee is clothed with right of his principal)
            (9).ข้อยกเว้นและจำกัดความรับผิดนั้นต้องตีความให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ที่อ้างข้อยกเว้น  (Exemption clauses are sirictly construed against parties who rely on them)
            (10).ภัยพิบัติที่เกิดแกทรัพย์ย่อมตกเป็นทรัพย์แก่เจ้าของความสูญเสีย (the loss falls on the owned)
            (11).ความยินยอมไม่เป็นละเมิด (That to which a mans consents cannot be considered an injury)
            (12).สัญญาไม่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย (A contract cannot arise out of an illegal act)
            (13).พึงฟังความทั้งสองฝ่าย (Here both sides)
            (14).ความจำเป็นสาธารณะสำคัญกว่าความจำเป็นเอกชน (Public necessity is greater than private)
            (15).การไร้ความสามารถเป็นข้อแก้ตัวได้ตามกฎหมาย (Inability is an excuse in law)